9 ข้อควรรู้เกี่ยวกับผ้าม่านกันแสง


หัวข้อทั้งหมด

9 ข้อควรรู้เกี่ยวกับผ้าม่านกันแสง (ม่าน BLACKOUT) ที่กันแสงได้ถึง 100%

ผ้าม่าน BLACKOUT อีกหนึ่งผ้าม่านยอดนิยมของผู้ปรารถนาอากาศเย็นสบายและการนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม มีข้อควรรู้ใดบ้างเกี่ยวกับผ้าม่านชนิดนี้ วันนี้ LUXE DECORATION รวบรวมมาให้แล้ว

1. ผ้าม่านกันแสงคืออะไร?

ผ้าม่านกันแสง หรือม่านกันแดด คือ นวัตกรรมผ้าม่านที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันแสงแดดและความร้อนจากภายนอกไม่ให้เข้าสู่ภายในบ้าน โดยสามารถกันแสงได้ตั้งแต่ 40% ไปจนถึง 100% ขึ้นอยู่กับประเภทและการผลิตของผ้าม่าน อีกทั้งด้วยเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัย ทำให้ผ้าม่านกันแสงไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าที่หนาและหนักอีกต่อไป แต่ยังคงประสิทธิภาพในการกันแสงและความร้อนได้ดีเยี่ยม

นอกจากการป้องกันแสงแดดแล้ว ผ้าม่านกันแสงยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย เช่น

  • ป้องกันรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและเฟอร์นิเจอร์
  • ลดเสียงรบกวนจากภายนอก ช่วยให้บ้านเงียบสงบมากขึ้น
  • ผ้าม่านกันแสงบางรุ่นมีคุณสมบัติป้องกันการลามไฟ (Flame Retardant) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
  • ช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศ เนื่องจากป้องกันไม่ให้ห้องไม่ร้อนเร็วเกินไป
  • เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย

2. ผ้าม่านกันแสงสามารถแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท

พอรู้คุณสมบัติคร่าวๆ ของผ้าม่านชนิดนี้แล้ว มาดูกันว่าผ้าม่านกันแสงสามารถแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท แล้วแต่ประเภทมีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร

– ผ้าม่านทึบแสง (Black Out)

ผ้าม่านห้องนอน

ผ้าม่านทึบแสง หรือ ผ้าม่าน Black Out เป็นผ้าม่านที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันแสง โดยสามารถปิดกั้นแสงจากภายนอกได้มากถึง 100% ทำให้ห้องมืดสนิทแม้ในเวลากลางวัน ซึ่งผ้าม่านประเภทนี้มีวิธีการผลิตที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • เคลือบโฟม (Foam Coating)

ผ้าม่านทึบแสงแบบเคลือบโฟม ผลิตด้วยการเคลือบด้านหลังของผ้าด้วยโฟม 2-3 ชั้น ทำให้มีความหนากว่าแบบอื่นๆ นอกจากจะกันแสงได้ดีเยี่ยมแล้ว ยังช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้อีกด้วย จึงเหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความเงียบสงบ เช่น ห้องนอน หรือห้องทำงาน

  • เคลือบซิลิโคน (Silicone Coating)

ผ้าม่านทึบแสงเคลือบซิลิโคนมีกระบวนการผลิตคล้ายกับแบบเคลือบโฟม แต่ใช้ซิลิโคนในการเคลือบแทน ส่งผลให้ผ้าม่านมีน้ำหนักเบากว่า และสามารถโค้งตัวเป็นลอนสวยงามได้ดีกว่า ช่วยการตกแต่งภายในดูสวยงามและมีสไตล์มากขึ้น ผ้าม่านแบบนี้สามารถซักและรีดได้ง่ายกว่าแบบเคลือบโฟม

  • แบบหลังผ้า (Fabric Coating)

ผ้าม่านทึบแสงรูปแบบนี้ผลิตขึ้นจากเทคนิคการนำผ้า 2 ชิ้นมาประกบกัน โดยมีวัสดุทึบแสง เช่น ยางดำ ติดอยู่ตรงกลางระหว่างเนื้อผ้า ทำให้สามารถป้องกันการลอดผ่านของแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ้าม่านแบบนี้มักพบได้ตามโรงแรมต่างๆ เนื่องจากมีขนาดใหญ่เป็นผืนเดียวกันและมีราคาค่อนข้างสูง แต่ให้ความรู้สึกหรูหราอย่างมาก

ผ้าม่าน Blackout เหมาะสำหรับห้องนอนของผู้ที่ต้องการพักผ่อนช่วงกลางวัน ห้องของเด็กเล็กที่ต้องการนอนหลับ ห้องโฮมเธียเตอร์หรือห้องดูหนังที่ต้องการความมืดสนิท ห้องที่ได้รับแสงแดดโดยตรงตลอดทั้งวัน รวมถึงห้องที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกซึ่งรับแสงแดดจัดในช่วงบ่ายถึงเย็น

– ผ้าม่านกรองแสง (Dim Out)

ผ้าม่าน DIMOUT

ม่านกรองแสง หรือ ผ้าม่าน Dim Out เป็นผ้าม่านที่สามารถกันแสงได้ในประมาณ 40-95% ขึ้นอยู่กับความเข้มของสีผ้าและความหนาของเนื้อผ้าที่ใช้ ซึ่งโดยทั่วไปผลิตจากผ้าโพลีเอสเตอร์ ผ้าม่าน Dim Out จึงให้ความรู้สึกพลิ้วไหวเป็นธรรมชาติมากกว่าผ้าม่าน Black Out ทำให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่นและเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยยังคงสามารถกรองแสงแดดได้ดี แม้จะไม่มืดสนิท แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป

ข้อดีอีกประการของผ้าม่าน Dim Out คือ การดูแลรักษาที่ง่าย สามารถถอดซักทำความสะอาดได้สะดวก โดยที่เนื้อผ้าไม่เสียหาย จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า พูดได้ว่า ผ้าม่าน Dim Out เหมาะสำหรับ ห้องนั่งเล่นที่ต้องการแสงธรรมชาติบ้าง แต่ไม่มากเกินไป ห้องทำงานที่ต้องการลดแสงสะท้อนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และห้องรับแขกที่ต้องการความอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ

– ผ้าม่านปรับแสง (Vertical Blinds)

ม่านปรับแสง หรือม่านแนวตั้ง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมทั้งในบ้านและสำนักงานต่างๆ จุดเด่นของม่านปรับแสงคือความสามารถในการควบคุมทิศทางของแสงได้อย่างแม่นยำ โดยการปรับองศาของแผ่นม่าน ทำให้สามารถเลือกได้ว่าต้องการให้แสงลอดผ่านเข้าได้มากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ ม่านปรับแสงที่ดีควรมีคุณสมบัติเบื้องต้น คือ มีใบซ้อนหรือเกยกันไม่น้อยกว่า 2 เซนติเมตร สามารถปรับองศาได้อย่างอิสระตามความต้องการ ทำจากวัสดุคุณภาพดี ไม่ขาดง่ายหรือขึ้นรา สามารถเช็ดทำความสะอาดง่ายและไม่สะสมฝุ่น อีกทั้งผ้าม่านปรับแสงยังสามารถนำทำเป็นม่านไฟฟ้า เพื่อความสะดวกสบายในการเปิด-ปิดมากขึ้น

3. ประโยชน์ของผ้าม่านกันแสง

ผ้าม่านกันแสง ม่านทึบแสง ม่านปรับแสง ตัวช่วยปกป้องบ้านจากแสงแดด

 

  • ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า

หนึ่งในข้อดีที่สำคัญที่สุดของผ้าม่านกันแสง คือ คุณสมบัติในการช่วยลดการใช้พลังงานในบ้าน โดยผ้าม่านกันแสงจะสะท้อนความร้อนจากภายนอก ทำให้ห้องไม่ร้อนอบอ้าวอย่างรวดเร็วจนเกินไป

นอกจากนี้มีการศึกษาที่พบว่า การใช้ผ้าม่านกันแสงสามารถลดอุณหภูมิภายในห้องได้ถึง 3-5 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของเครื่องปรับอากาศ โดยเครื่องปรับอากาศไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อลดอุณหภูมิภายในห้อง ช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าไฟฟ้าได้ถึง 10-15% ต่อเดือน

  • ช่วยรักษาเฟอร์นิเจอร์

แสงแดดและรังสียูวีสามารถทำลายเฟอร์นิเจอร์และวัสดุภายในบ้านได้อย่างช้าๆ ซึ่งการที่ของใช้ต่างๆ สัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานสามารถทำให้ สีของเฟอร์นิเจอร์ซีดจาง ผ้าหุ้มเบาะเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ไม้แห้งและแตกร้าว รูปภาพแขวนผนัง และหนังสือตามชั้นวางเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร

ผ้าม่านกันแสง ช่วยปกป้องเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านจากรังสียูวี ช่วยยืดอายุการใช้งานของข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน ลดความจำเป็นในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์บ่อยๆ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

  • เพิ่มความเป็นส่วนตัว

ผ้าม่านกันแสง โดยเฉพาะแบบทึบแสงช่วยปิดกั้นสายตาจากภายนอก ทำให้สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ภายในบ้านได้อย่างเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าคนภายนอกจะมองเห็น โดยเฉพาะบ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชน หรือคอนโดมิเนียมที่มีระยะห่างระหว่างตึกไม่มากนัก

โดยทั่วไป ผ้าม่านทุกชนิดสามารถช่วยลดระดับแสงแดดภายในห้องให้อยู่ในโทนที่อบอุ่นพอดี แต่ถ้าห้องใครหันหน้าสู่ทิศที่โดนแสงแดดเต็ม ๆ เป็นประจำทุกวัน แน่นอนว่าบางครั้งผ้าม่านมาตรฐานก็อาจเอาไม่อยู่ หากต้องจะเปิดหน้าต่างรับลม คลายร้อนช่วงกลางวันก็กลัวจะยิ่งร้อน ต้องการจะอยู่ภายในห้องกับเพียงพัดลมก็อาจจะไม่ไหว ทำให้ต้องคอยเปิดแอร์อยู่ตลอดแม้บางคราวจะไม่อยากเปิด นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่อยากนอนกลางวันให้เต็มอิ่มแต่ค่อนข้างไวต่อแสง บางครั้งผ้าม่านมาตรฐานก็อาจไม่ตอบโจทย์ เพราะแสงยังคงเล็ดลอดเข้ามาในห้องได้อยู่ ทำให้นอนหลับได้ไม่เต็มอิ่ม ด้วยปัจจัยทั้งหมดมวลนี้เอง ‘ผ้าม่านกันแสง’ เช่น ผ้าม่าน BLACKOUT จึงถูกผลิตขึ้นมาเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการด้านนี้ของผู้อยู่อาศัยโดยเฉพาะ 

4. ชนิดของผ้าม่าน BLACKOUT และความสามารถในการกันแสง

ผ้าม่าน BLACKOUT มีหลากหลายชนิด และแต่ละชนิดยังมีคุณสมบัติกันแสงในระดับที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ผ้าม่าน BLACKOUT ชนิดหลังผ้า

ในการผลิตผ้าม่าน BLACKOUT ชนิดนี้ ผู้ผลิตจะใช้เทคนิคนำผ้า 2 ชิ้นมาประกบติดกันโดยเคลือบวัสดุทึบแสงไว้ระหว่างกลางเนื้อผ้า จึงป้องกันแสงแดด และ รังสี UV ได้ 100% มีข้อดีคือราคาค่อนข้างถูกและผ้าด้านหน้า และ ด้านหลังสวยเหมือนกัน

  • ผ้าม่าน BLACKOUT ชนิดเคลือบโฟม

สำหรับผ้าม่าน BLACKOUT ชนิดเคลือบโฟม ผู้ผลิตจะใช้เทคนิคเคลือบโฟมที่บริเวณด้านหลังเนื้อผ้า เมื่อสัมผัสด้วยมือจะเหมือนฟองน้ำบาง ๆ เคลือบอยู่ โดยความสามารถในการกันแสงขึ้นอยู่กับระดับชั้นการเคลือบ ซึ่งโดยปกติจะเคลือบกันอยู่ที่ 2 (บล็อกแสงได้เกือบ 100%) หรือ 3 ชั้น (บล็อกแสงได้ 100%) และ ในคอลเลคชั่นที่ใช้ White Acrylic Foam ซับหลังยังจะช่วยซับเสียง และ ช่วยให้ชั้นซับหลังดูสวยงามด้วย

  • ผ้าม่าน BLACKOUT ชนิดเคลือบซิลิโคน

สำหรับผ้าม่าน BLACKOUT ชนิดเคลือบซิลิโคน มีกระบวนการผลิตคล้ายการเคลือบโฟม แต่จากวัสดุโฟม ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็น ‘ซิลิโคน’ แทนที่สามารถช่วยกันแสงได้ 100% และยังช่วยทำให้ผ้าม่านเป็นลอนสวยงามอีกด้วย

ในการเลือกผ้าม่าน BLACKOUT ที่เหมาะสม ผู้ใช้งานจึงควรตรวจดูชนิดหรือวัสดุผ้า BLACKOUT ของร้านผ้าม่านเสมอ เพื่อเช็กว่าสามารถกันแสงได้ในระดับใด และตอบโจทย์ความต้องการของเราหรือไม่

5. ผ้าม่าน BLACKOUT มีคุณสมบัติพิเศษอย่างไร

นอกเหนือจากการผลิตให้สามารถกันแสงได้ 100% ผู้ผลิตผ้าม่าน BLACKOUT ส่วนใหญ่ยังสามารถพัฒนาและผลิตให้มีคุณสมบัติพิเศษอื่นด้วย เช่น     ป้องกันการลามไฟ (Flame Retardant), ดูดซับเสียงสะท้อนภายนอกได้ (Additional Noise Block) และปราศจากสารพิษ โดยเฉพาะสารพทาเลท (Phthalate Free) ซึ่งก่อให้เกิดโรงมะเร็งได้

  • แม้จะขึ้นชื่อว่า BLACKOUT แต่ก็มีโทนสีขาวและสว่าง

หลายคนมักคิดว่าผ้าม่าน BLACKOUT ต้องเป็นโทนสีทึบเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงผ้าม่าน BLACKOUT สามารถเป็นได้ทุกสีและทุกลวดลายอย่างหลากหลายตามที่ผู้ใช้งานต้องการ ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่านหรู หรือรูปแบบใด คุณสมบัติกันแสงของผ้า BLACKOUT ไม่ได้อยู่ที่สีผ้า แต่อยู่ที่กลวิธีการผลิต เช่น แม้เราจะเลือกโทนสีขาว แต่ถ้าเป็นนวัตกรรม BLACKOUT เคลือบซิลิโคน ก็สามารถช่วยบล็อกแสงได้อย่างตอบโจทย์

6. ผ้าม่าน BLACOUT เหมาะกับใครหรือห้องแบบใดบ้าง?

ด้วยคุณสมบัติกันแสงสูง 100% ผ้าม่าน BLACKOUT จึงเหมาะในหลากหายการใช้งาน เช่น 

  • ห้องที่ถูกแสงแดดตรง ๆ 
  • ห้องที่ต้องการป้องกันแสงสว่างจากภายนอก ผ้าม่านกันแสง โดยเฉพาะชนิด Blackout สามารถช่วยป้องกันแสง UV 
  • ห้องนอนสำหรับท่านที่ต้องการนอนตื่นสายหรือมีเวลานอนไม่เป็นเวลา
  • ห้องที่ไม่ต้องการให้แสงเข้ามารบกวน เช่น ห้องดูหนัง, โรงหนัง
  • ห้องที่ผู้ใช้งานต้องการความเป็นส่วนตัว 

7. ผ้าม่าน BLACKOUT และ DIMOUT ต่างกันอย่างไร?

ทั้งผ้าม่าน BLACKOUT (แบล็คเอาท์) และ DIMOUT (ดิมเอาท์) มักจะทำออกมาจากวัสดุที่เหมือนกัน คือ โพลีเอสเตอร์ หรือโพลีเอสเตอร์ผสมคอตตอน นอกจากนั้นผ้าม่านทั้งสองชนิด มีความแตกต่างดังนี้

  • ผ้าม่านชนิด BLACKOUT มีวิธีการผลิตแบบอื่นต่างจากแบบ DIMOUT ที่มีการผลิตผ่านการประกบเนื้อผ้าอย่างเดียว  ผ้าม่าน BLACKOUT การผลิตแบบอื่น ๆ ดังนี้
  1. ชนิดเคลือบโฟม ให้ความหนากว่าผ้าม่านแบล็คเอาท์ชนิดอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเคลือบกัน 2 – 3 ชั้น 
  2. ชนิดเคลือบซิลิโคน มีกระบวนการผลิตคล้ายชนิดเคลือบโฟม แต่เบากว่าและยังช่วยทำให้ผ้าม่านเป็นลอนสวยงามอีกด้วย
  3. ชนิดหลังผ้า โดยผลิตจากกระบวนการนำผ้า 2 ชิ้นมาประกบติดกัน โดยเคลือบวัสดุทึบแสงไว้ระหว่างกลางเนื้อผ้า จึงทำให้ผ้าม่านกันแสงทั้งสองแบบสามารถกันแสงได้ขณะที่มีสีสัน และลวดลายหลากหลายเพื่อเพิ่มความสวยงามในห้อง

นอกจากนี้ผ้าม่าน BLACKOUT ในบางคอลลเลคชั่นยังมีคุณสมบัติพิเศษอีก คือ สามารถป้องกันการลามไฟ (Flame Retardant) และดูดซับเสียงสะท้อนภายนอกได้ (Additional Noise Block) รวมถึงปกป้องผู้อยู่อาศัยจากรังสียูวี (UV Ray Protection) ได้อีกด้วย 

ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างผ้าม่านทั้งสองชนิดนี้ก็คือ ระดับการป้องกันแสง โดยผ้าม่าน DIMOUT  จะสามารถกันแสงได้ระหว่าง 40% – 95% ขึ้นอยู่กับโทนสีของเนื้อผ้าว่ามีความเข้มมากน้อยแค่ไหน ส่วนผ้าม่าน BLACKOUT สามารถป้องกันแสงได้สูงสุด 100% จากการเคลือบโฟม 3 ชั้น , เคลือบซิลิโคน หรือ เพิ่มวัสดุทึบแสงไว้ระหว่างกลางเนื้อผ้า

ผ้าม่านกันแสงแบบ BLACKOUT กับ DIMOUT ต่างกันยังไง? ควรนำไปใช้กับห้องแบบไหน?

8. BLACKOUT เหมาะกับห้องแบบไหน

เนื่องจากคุณสมบัติการบล็อกแสงได้ 100% ผ้าม่าน BLACKOUT จึงสามารถนำมาใช้ได้ในหลายสถานการณ์ เช่น 

  • ห้องที่ต้องโดนแดดจัดส่องตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันความร้อนและแสงยูวี
  • ห้องนอนสำหรับท่านใดที่ต้องการนอนกลางวัน หรือมักจะถูกรบกวนจากแสงภายนอกเป็นประจำ
  • ห้องดูหนัง ห้องโฮมเธียเตอร์ เพื่อจำลองบรรยากาศโรงหนัง

9. DIMOUT เหมาะกับห้องแบบไหน

ความสามารถในการป้องกันแสงแดดของผ้าม่าน DIMOUT ที่อยู่ระหว่าง 40% – 95% ทำให้เป็นผ้าม่านที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานกับห้องต่าง ๆ ในบ้าน เช่น

  • ห้องนั่งเล่น ช่วงกลางวันที่มีแดดแรง แต่ยังคงต้องการแสงลอดผ่านอยู่บ้าง
  • ห้องเลี้ยงเด็ก เพื่อป้องกันแสงที่แรงเกิน มากระทบเจ้าตัวน้อย

นอกจากความเหมาะสมที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ร้านผ้าม่านหลาย ๆ ร้านก็อาจจะแนะนำให้ประยุกต์ผ้าม่านกันแสงกับผ้าม่านไฟฟ้า โดยติดตั้งเข้าด้วยกันเป็นการสร้างระบบ Home Automation ไปพร้อม ๆ กัน

โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างของผ้าม่านทั้ง 2 ชนิด เกิดจากปัจจัย กระบวนการผลิต ความสามารถในการป้องกันแสง และความสามารถเพิ่มเติม ในการป้องกันไฟ ลดเสียงรบกวนภายนอก หรือกันแสงยูวี ส่วนในเรื่องของความเหมาะสมนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานห้องของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก

ABOUT LUXE DECOR

  • LUXE DÉCOR คือผู้บริการผ้าม่านตกแต่งชั้นนำแบบครบวงจร
  • บริการผ้าม่านตกแต่งทุกประเภทและรูปแบบ โดยทีมงานระดับมืออาชีพ
  • ไม่คิดค่าดำเนินการตัดเย็บ พร้อมการรับประกันหลังการขาย 1 ปีเต็ม
  • บริการติดตั้งด่วนภายใน 7 วันทำการ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอคำปรึกษาจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าม่านของเราได้ที่

  • LINE Official : @LUXEDECOR หรือ
  • โทร. : 098-289-5159

ร้านผ้าม่านสุดหรูที่ LUXE DECOR เท่านั้น

LUXE DÉCOR ผู้ให้บริการงานผ้าม่านครบวงจร